Tuesday, June 30, 2015

WEEK 5 : คนถนัดซ้าย (เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 2)



--- Left-handed ---


" วันนี้เราจะมาพูดถึงความถนัดทางซ้าย หรือว่า ถนัดมือซ้ายนั่นเอง เนื่องจากบล็อกเกอร์เป็นคนถนัดซ้ายก็เลยอยากมาแชร์ข้อมูลให้ได้ทราบกันถึงสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร? แล้วต่างจากถนัดมือขวายังไง? ไปดูกัน  " 



 เริ่มแบบมีสาระนิดนึง
             เนื่องจากมนุษย์มี 2 มือ ดังนั้นจึงแบ่งความถนัดของมือมนุษย์ออกเป็น2 แบบ คือ “ถนัดมือขวา” และ “ถนัดมือซ้าย” ซึ่งจากสถิติโดยทั่วไปของประชากรโลกแล้ว จะมีคนที่ถนัดมือขวาอยู่ประมาณ 85% และคนถนัดมือซ้ายอยู่ประมาณ 15%  แต่การที่คนเราจะถนัดมือข้างไหนนั้น นักวิชาการเชื่อว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดด้วยซ้ำไป โดยสังเกตเห็นได้จากการที่ทารกในครรภ์มารดาวางมือใดไว้ใกล้ปากมากที่สุด มือนั้นก็จะเป็นด้านที่ถนัดที่สุดในเวลาต่อมา แต่หากจะให้แน่ใจจริงๆหรือจะรู้ว่าคนนั้นถนัดมือซ้ายหรือมือขวากันแน่นั้น ต้องดูตอนที่มีอายุประมาณ 2-3 ขวบขึ้นไป โดยสังเกตจากการที่เด็กชอบใช้มือข้างไหนในการหยิบจับสิ่งของ ใช้มือข้างไหนในการใช้ช้อนตักอาหารเข้าปาก ใช้มือข้างไหนในการจับดินสอปากกาในการเขียนหนังสือหรือวาดรูประบายสี มือข้างนั้นก็จะเป็นมือข้างที่เด็กถนัดมากกว่าอีกข้างนั่นเอง





 เพราะหากจะพูดไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยพันธุกรรมและเป็นไปตามกระบวนการทำงานของสมองของมนุษย์ โดยคนที่มีความถนัดซ้ายจะถูกควบคุมโดยสมองซีกขวา ส่วนคนที่ถนัดขวาก็จะถูกควบคุมโดยสมองซีกซ้าย และตามหลักการทำงานของสมองก็สอดคล้องกับการกำหนดคุณลักษณะของมนุษย์ โดยสมองซีกขวาจะใช้ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ คนถนัดซ้ายส่วนมากจึงมักเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านศิลปะหรือมีความเป็นศิลปินสูง เพราะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีนั่นเอง



แต่เมื่อคนหมู่มากถนัดทางขวา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นก็จะยึดทางขวาเป็นหลัก คราวนี้แหละคนถนัดมือซ้ายถึงตาลำบากแล้วล่ะ...



 1. เวลาเขียนหนังสือมือจะเลอะหมึกและดินสอเต็มไปหมด




2. ไม้กอล์ฟ หรือถุงมือเบสบอล ต้องใช้สำหรับคนถนัดซ้ายโดยเฉพาะ แถมราคายังแพงกว่ารุ่นปกติ




3. กรรไกรส่วนใหญ่ผลิตออกมาเพื่อคนถนัดขวา




4. โต๊ะเลคเชอร์ไม่มีที่รองแขนสำหรับคนถนัดซ้าย 




5. จะเล่นกีต้าร์ก็ต้องใช้กีต้าร์สำหรับคนถนัดซ้ายโดยเฉพาะ 




6. ลำบากเวลาต้องเขียนบนสมุดโน๊ตสันกระดูกงู



7. ต้องมาคอยระวังเรื่องที่นั่ง เดี๋ยวข้อศอกจะชนกับคนมือขวา




นั่นแหละ เยอะเนอะ..
แต่..

The Devil Is Left Handed





Murderers Are Also Left Handed !



#เกี่ยว


 ยังไม่หมดแค่นี้นะ เรายังนำเกร็ดความรู้ดีๆ มาฝากอีกนิด บนโลกใบนี้ของเรามี วันสากลคนถนัดซ้าย” ด้วย โดยวันสากลคนถนัดซ้าย จะตรงกับวันที่ 13 สิงหาคมของทุกปี เริ่มต้นมีครั้งแรกในปี ค.ศ. 1976 โดยกลุ่มชาวสหรัฐอมริกากลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบมา ผู้นำของประเทศสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันก็ยังเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถนัดซ้ายอีกด้วย







ไม่ว่าจะเป็นคนถนัดซ้าย หรือถนัดขวา ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ขอเพียงเรารู้จักใช้สมองทั้งสองซีก ให้ผสมผสาน และสมดุลกัน
ทั้งในเรื่องของการคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์จินตนาการ และรู้จักนำสิ่งดีๆ เหล่านั้น
แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่ในตัวเราก็เพียงพอแล้ว





อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000038583







Tuesday, June 23, 2015

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C/C++/C#/Java) : Week IV


             
                    จากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์พบว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

● ภาษาระดับต่ำ ได ้แก่ ภาษาเครื่อง และภาษา Assembly


● ภาษาระดับสูง ได ้แก่ Basic, Pascal, Ada, C, Cobol, Fortran และอื่นๆ



ความแตกต่างระหว่างภาษาระดับสูงและระดับต่ำคือ ภาษาระดับต่ำควบคุมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้ดีกว่าแต่เขียนยาก และยาวมากส่วนภาษาระดับสูงเขียนง่ายเข้าใจง่ายกว่าเพราะใกล้เคียงภาษามนุษย์ แต่มีข้อจํากัดในการควบคุมฮาร์ดแวร์





                      ภาษาคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาหรือมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ โดยจะสามารถแบ่งออกเป็นยุคหรือเป็นรุ่นของภาษา (Generation) ซึ่งในยุคหลังๆ จะมีการพัฒนาภาษาให้มีความสะดวกในการอ่านและเขียนง่ายขึ้นกว่าภาษาในยุคแรกๆ เนื่องจากจะมีโครงสร้างภาษาใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ เราสามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคดังนี้

ยุคที่ 1 ภาษาเครื่อง (Machine Language)

               เป็นภาษาที่เกิดขึ้นในยุคแรกสุด และเป็นภาษาเดียวที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถเข้าใจคำสั่งได้ ภาษาเครื่องจะแทนข้อมูลหรือคำสั่งในโปรแกรมด้วยกลุ่มของตัวเลข 0 และ 1 หรือที่เรียกว่าเลขฐานสอง ซึ่งจะสัมพันธ์กับการเปิด (On) และการปิด (Off) ของสัญญาณไฟฟ้าภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
          → ข้อดีของภาษาเครื่อง คือสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว

 ยุคที่ 2 ภาษาแอสแซมบลี (Assembly Language)

               เป็นภาษาที่มีการใช้สัญลักษณ์ข้อความ (Mnemonic codes) แทนกลุ่มของเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากกว่าภาษาเครื่อง แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์รู้จักเฉพาะภาษาเครื่องเท่านั้น ดังนั้นภาษาแอสแซมบลี จึงต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า “แอสแซมเบลอร์ (Assembler)” เพื่อแปลคำสั่งภาษาแอสแซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง
               

สรุปคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในยุคที่ 1 และที่ 2 จะต้องใช้เทคนิคการเขียนโปรแกรมสูง เพราะมีความยืดหยุ่นในการเขียนน้อยมาก และมีความยากในการเขียนคำสั่งสำหรับผู้เขียนโปรแกรม แต่สามารถควบคุม และเข้าถึงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และมีความรวดเร็วกว่าการใช้ภาษาระดับอื่นๆ


ยุคที่ 3 ภาษาชั้นสูง (High-level Language)             

               การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงจะต้องใช้ตัวแปลภาษา ที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compiler) เพื่อแปลภาษาระดับสูงโดยการตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาระดับสูง ไปเป็นภาษาเครื่องเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่อไป โดยคอมไพเลอร์ของภาษาระดับสูงแต่ละภาษาจะแปลเฉพาะภาษาของตนเอง และทำงานได้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกันเท่านั้น

คอมไพเลอร์(compiler)

● คอมไพเลอร์จะอ่านโปรแกรมทั้งหมดก่อนเมื่อเจอข้อผิดพลาดก็จะแจ้งให ้แก้ไขแต่ถ้าไม่พบข้อผิดพลาดใดๆ ในโปรแกรมก็จะแปลให ้เป็นโปรแกรมที่พร้อมจะทํางานดังรูป






ตัวอย่างของภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงได้แก่ ภาษา BASIC ภาษา COBOL ภาษา FORTRAN และ ภาษา C ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน สามารถเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟิก ได้เป็นอย่างดีเพราะมีความยืดหยุ่นและเหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปได้

สรุปภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 มีการเขียนโปรแกรมที่ง่ายกว่าในยุคที่ 2 สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หลายระดับ (Machine Independent) โดยต้องใช้ควบคู่กับตัวแปลภาษา (Compiler or Interpreter) สำหรับเครื่องนั้นๆ และมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาได้มากกว่าภาษาระดับต่ำ


ยุคที่ 4 ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level Language)

                    เรียกได้อีกอย่างว่าภาษาในรุ่นที่ 4 (4GLs: Fourth Generation Languages) ภาษานี้เป็นภาษาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าภาษารุ่นที่ 3 มีลักษณะของภาษาในรุ่นที่เป็นธรรมชาติคล้ายๆ กับภาษาพูดของมนุษย์จะช่วยในเรื่องของการสร้างแบบฟอร์มบนหน้าจอเพื่อจัดการเกี่ยวกับข้อมูล รวมไปถึงการออกรายงาน ซึ่งจะมีการจัดการที่ง่ายมากไม่ยุ่งยากเหมือนภาษารุ่นที่ 3 ตัวอย่างของภาษาในรุ่นที่ 4 ได้แก่ Informix-4GL, Focus, Sybase, InGres เป็นต้น
ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 4                                   
                  • การเขียนโปรแกรมจะสั้นและง่าย เพราะเน้นที่ผลลัพธ์ของงานว่าต้องการอะไร ไม่สนใจว่าจะทำได้อย่างไร
                  • การเขียนคำสั่ง สามารถทำได้ง่ายและแก้ไข เปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้สะดวก ทำให้พัฒนาโปรแกรมได้รวดเร็วขึ้น
                  • ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม?ต?องเสียเวลาอบรม หรือมีความรู?ด้านการเขียนโปรแกรมหรือไม่ เพราะชุดคำสั่งเหมือนภาษาพูด
                  • ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องทราบถึงฮาร์ดแวร์ ของเครื่องและโครงสร้างคำสั่งของภาษาโปรแกรม

ยุคที่ 5 ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)

                  ภาษาธรรมชาติ คือการเขียนคำสั่งหรือสั่งงานคอมพิวเตอร์ทำงานโดยการใช้ภาษาธรรมชาติต่างๆ เช่น ภาพ หรือ เสียง โดยไม่สนใจรูปแบบไวยากรณ์หรือโครงสร้างของภาษามากนัก ซึ่งคอมพิวเตอร์จะพยายามคิดวิเคราะห์ และแปลความหมายโดยอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองและระบบองค์ความรู้ ( Knowledge Base System) มาช่วยแปลความหมายของคำสั่งต่างๆและตอบสนองต่อผู้ใช้งาน

ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 เช่น
SUM SHIPMENTS BY STATE BY DATE

 ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 คือผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม แต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมต้องมีระบบรับคำสั่ง และประมวลผลแบบอัจฉริยะ สามารถตอบสนองและทำงานได้หลายแบบ

จากภาษา C สู่ C++
• ภาษา C ได ้มีการพัฒนาต่อโดยใช ้แนวคิดโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object Oriented Programming)
• เกิดภาษาใหม่เรียกว่า “ซี พลัส พลัส” (C++)
• ภาษาซียังเป็นต ้นฉบับให ้กับอีกหลายๆภาษาในปัจจุบันเช่น Java, C# (อ่านว่าซีชาร์ป)
• C# คือภาษาที่ออกแบบมาเพื่อทํางานบนแพลตฟอร์ม.NET 

ภาษา Java
ภาษา Java เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 ที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัตถุ (Object) เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่สนใจ ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของ Object ถูกจัดกลุ่มในรูปของ Class โดยที่แต่ละคลาสมีคุณสมบัติการถ่ายทอดลักษณะ (Inheritance) ภาษา Java ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกันได้โดยไม่ขึ้นกับแพตฟอร์มใดๆ (Platform Independent) เป็นภาษาที่มีไวยากรณ์เข้าใจง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 สรุป 
• คอมไพเลอร์ภาษา C ที่ในปัจจุบันมีหลายตัวแต่มีพื้นฐานมาจากมาตรฐานเดียวกันคือ ANSI C
ซึ่งจะเป็นมาตรฐานของการเขียนโปรแกรมภาษา C บนยูนิกซ์ Linux หรือ Windows โดยใช ้คอมไพเลอร์
Visual C++, Borland C++, GNU C/C++
• ภาษาซีเป็นพื้นฐานของภาษา C++, Java, C# 




อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/1201104/Unit_1/Unit_1_01_3.htm








Tuesday, June 16, 2015

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย Week III






Social Network คืออะไร ?

               Social Network คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน ผ่านInternet ซึ่งช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ โดยเลือกได้ว่าต้องการรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร ก็ได้ ตัวอย่าง Social Network เช่น Hi5, Facebook, MySpace.com, twitter เป็นต้น
                 Social Network หรือ เครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก 







ทำไมโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ถึงกลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดยอดนิยมได้

เนื่องจากการโฆษณาผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิผลสูง หรือหมายถึงมีประสิทธิภาพในการโฆษณาสูงมาก สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และกระจายการรับรู้ได้รวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต่างให้ความสนใจ โดยระยะแรกนั้นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก มีเงินลงทุนน้อยได้ทดลองใช้งานก่อน และเมื่อประสบความสำเร็จ ก็ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องลงมาโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ควบคู่ไปกับสื่อโฆษณาที่เป็น mass marketing อื่นๆ

การตลาดบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network Marketing)

คือ การตลาดที่มุ่งเน้นไปที่การกระจายข้อมูลข่าวสารผ่านระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นสำคัญ  โดยช่องทางการตลาดบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นลักษณะ one to many คือมีการแพร่กระจายของข่าวสารจากหนึ่งออกไปได้เป็นทวีคูณ  และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคเป็นไปได้ง่ายกว่า  เข้าถึงมากกว่า  เพราะความไม่เป็นทางการของรูปแบบการสื่อสาร  ทุกวันนี้มีผู้ใช้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นจำนวนมาก  และมีผู้ทำการตลาดบนโซเชียลเน็ตเวิร์คมากเช่นเดียวกัน  เนื่องจากเป็นบริการที่สามารถใช้งานได้ฟรี (หากต้องการ option เพิ่มเติมมักต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น การดูสถิติผู้เข้าชมโฆษณา การเลือกแสดงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น)




"Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย"

ผู้ชายใช้งานอินเตอร์เน็ตมากกว่าผู้หญิง คิดเป็น 55% และ 45% ตามลำดับ ในจำนวนนี้เป็นนักเรียน และนักศึกษาถึง 34% นั่นหมายถึงเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 22 ปีเป็นส่วนใหญ่ (ข้อมูลจากการสำรวจของ True Hit พบว่าเป็นช่วงอายุ 12-17 ปี เป็นส่วนใหญ่)
ใน 25 ล้านคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ต  ได้สมัครเป็นสมาชิกเฟซบุ๊ค (Facebook) 16.4 ล้าน account (ในจำนวนนี้ บางคนมี account มากกว่า 1 account) เฉพาะในกรุงเทพมีจำนวนผู้ใช้งาน 8.6 ล้าน account หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ  หมายความว่าถ้าคุณโฆษณาอะไรบางอย่างลงบน Facebook จะมีโอกาส 50% ที่ผู้รับชมจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

ข้อมูลล่าสุดสำรวจโดย Social Inc. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เผยแพร่ที่ Marketeer จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ของยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็น 28 ล้าน account โตขึ้น 53% และจัดว่ามีอันดับการใช้งานเป็นลำดับที่ 9 ของโลก โดยใน 28 ล้าน account นั้น Active ที่ 85%  พฤติกรรมการใช้งานของ user กว่าครึ่งคือการโพสต์รูป ตามมาด้วยการ Check-In จนอาจกว่าได้ว่า ผู้ใช้งานนิยมเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางภาพถ่าย และบอกกับเพื่อนฝูงว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน  ส่วนการแชร์ลิ้งค์ และวีดีโอ ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไรนัก





จุดประสงค์ในการใช้งาน  กิจกรรมที่นักเรียนนักศึกษารวมถึงคนวัยทำงานทำเมื่อเข้าเว็บไซต์ประเภทเครือข่ายสังคมออนไลน์ร้อยละ 19.7 จะเข้าเว็บไซต์เครือข่ายสื่อออนไลน์เพื่อสนทนากับเพื่อน รองลงมา จะเข้าเว็บไซต์เพื่ออัพเดทข้อมูลส่วนตัวหรือรูปภาพ คิดเป็นร้อยละ 15.0 เข้าเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูล / แลกเปลี่ยนข้อมูล คิดเป็นร้อยละ 13.0 เข้าเว็บไซต์  เพื่อ Like (ถูกใจ) คิดเป็นร้อยละ 11.5 เข้าเว็บไซต์เพื่อเล่นเกมส์คิดเป็นร้อยละ 10.4 เข้าเว็บไซต์เพื่อติดตามข่าวสารของสินค้าผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 8.4 เข้าเว็บไซต์  นอกจากนั้นยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆอีก แต่กระจัดกระจายเกินกว่าจะกำหนดทิศทางได้





ข้อเสียของ Social Network 

  • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้

  • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์

  • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น

  • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้

  • ผู้ใช้ที่เล่น social  network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้      

  • ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social  network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้

  • จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์









ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.microbrand.co/social-network

Monday, June 8, 2015

เรื่องที่นักเรียนสนใจ Week ll


    30 English idioms     

that always see in daily life 



    "หลายคนต้องเคยเป็นแน่ เวลาเจอสำนวนภาษาอังกฤษแล้วแปลความหมายไม่ออกว่ามันคืออะไรกัน เพราะบางครั้งการที่จะแปลตรงตัวเป๊ะๆ เลย ความหมายคงเพี้ยนน่าดู ยิ่งเป็นสำนวนที่ใช้กันบ่อยในชีวิตประจำวันที่เจอในบทสนทนา ทีวี หรือในภาพยนตร์บ้างล่ะ อาจจะตีความหมายไม่ออก แต่จะไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว เพราะ Update ได้รวบรวมสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยมาให้ได้อ่านกัน และเพื่อเป็นการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น (^ω^) "







30 สำนวนภาษาอังกฤษที่มักเจอในชีวิตประจำวัน



1. “Twenty-four Seven”  สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ

2.  “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy”  ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend.  I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow.  I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money – ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand”  ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
 10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”




11. “behind one’s back”  แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on”  แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง  ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at”  แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back”  แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น  “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)





"Let's cut to the chase."
"So much to do, so little done."
"The less men think,
 the more they talk."
"Never too late to learn."






21. “After all”  แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า  อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น  “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather”  หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง












ขอบคุณข้อมูล http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_youtube.php?youtube_id=181,http://www.wegointer.com/2014/11/20-idioms/


Wednesday, June 3, 2015

เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน ( Week I )


   

เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน





เทคโนโลยีที่ใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันนั้นก็คงจะเป็นสมาร์ทโฟน      
ปัจจุบันความนิยมของสมาร์ทโฟนคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสูงขนาดไหน ทุกคนย่อมมี มือถือ สมาร์ทโฟน ใช้กันแทบทุกครัวเรือนตั้งแต่เด็กประถม ไปจนถึงในระดับของมนุษย์เงินเดือน และผู้บริหาร เรียกได้ว่าเข้าถึงชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้อย่างแนบเนียนและคอยหล่อหลอม จนสามารถสร้างนิสัยต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างจะเปรียบเสมือนกับดาบสองคม ที่ด้านหนึ่งย่อมต้องมีประโยชน์ และแฝงมากับโทษที่ไม่เคยทราบมาก่อน

สำหรับประโยชน์ของโทรศัพท์สมาร์ทโฟน นั้นคงจะทราบกันดีว่านอกจากการสื่อสารระหว่างกันด้วยเสียงแล้วSmartphone ในปัจจุบันยังเปรียบเสมือนกับคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก เพราะโทรศัพท์สมาร์ทโฟนแทบทุกรุ่นมักจะมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่คล้ายกับคอมพิวเตอร์อาทิเช่น การดูหนัง การฟังเพลง การเล่นเกมส์ และอื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างในบางจุด นอกจากจุดเด่นของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนอีกด้านหนึ่งหมายถึงการเข้าถึงสื่อสาธารณะอย่างอินเตอร์เน็ตได้อย่างอิสระ พร้อมกับเสรีผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือต่าง ๆ ด้วยระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง 3G หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง 4G ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นก็เป็นเพียงแค่ด้านดีของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ยังตามด้วยข้อเสียที่แฝงไว้อย่างแนบเนียน จนไม่สามารถทราบได้ว่า “กำลังเสพติด”












การทำกิจกรรมภายในบ้านก็ยังมีการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอีกด้วย โดยเฉพาะการให้ความเพลิดเพลินแก่ตนเอง เช่นการดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุหรือซีดีเพลงจากเครื่องเล่นซีดี การเล่นเกมส์Play Station รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเล่นInternet, Game Online และ Chat Online อีกด้วย









            จะเห็นได้จากการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ในแต่ละวันล้วนต้องใช้และพึ่งพาเทคโนโลยีตลอดเวลาไม่ว่าจะดำเนินกิจกรรมใดๆก็ตามก็มักจะมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ก็ยังสามารถที่จะเชื่อมต่อกันได้จึงทำให้เราสามารถที่จะติดต่อกับบุคคลอื่นๆ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา
                อย่างไรก็ตามในการใช้เทคโนโลยีนั้นเราก็ควรใช้เทคโนโลยีในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเรามากที่สุดไม่ควรใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดและในบางครั้งมนุษย์เราก็ควรหันมาทำอะไรด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพิงเทคโนโลยีบ้างเพื่อให้เราได้รู้จักใช้สมองและร่างกายของเราฝึกทำอะไรด้วยตนเองก่อนที่มนุษย์เราจะต้องตกเป็นทาสของเทคโนโลยี