Tuesday, August 4, 2015

WEEK 9 : ท่องเที่ยวธรรมชาติ (เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 3)




                  ตลอดเวลาที่ผ่านมาของการใช้ชีวิตหลายครั้งคนเรามักจะใช้ชีวิตให้หมดไปกับการตั้งหน้า ตั้งตาทำงานแบบเคร่งเครียดเป็นประจำ จนทำให้เราไม่มีเวลาที่จะหันมาใส่ใจดูแลชีวิตตนเองกันสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น วันนี้หันมาดูตัวเองให้ดีอีกครั้งด้วยการพาตัวเองไปท่องเที่ยวท่ามกลางสถานที่สวยๆ รอบตัวเรากันบ้างดีมั้ยคะ เพื่อตักตวงพลังและความสุขให้คืนกลับสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกว่าประโยชน์ดีๆ ของการท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาตินี่แหละรางวัลอันยิ่งใหญ่ของชีวิตที่ควรออกตามหามาเนิ่นนานแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าการท่องเที่ยวและได้ใช้ชีวิตที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติมันสวยงามแค่ไหน 


" มาร่วมเดินทางไปด้วยกันเลย "



" ตื่นมาพร้อมกับสายลมและแสงแดดอ่อนๆ "



" ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้า "


 ▲▲▲▲▲▲ 


" พายเรือชมธรรมชาติของแม่น้ำ ลำธาร "


♪ ▲▲▲▲▲▲ ♪



" หรืออาจจะวาดรูปวิวทิวทัศน์ "


↓↓↓↓↓↓↓↓



♫♫♫♫♫♫

" มองท้องฟ้าและหมู่ดาวยามค่ำคืน "
  ▲▲▲▲▲▲

                                         

                                 3 ประโยชน์ดีๆ ที่ได้จากการท่องเที่ยวธรรมชาตินั้นมีอะไรบ้าง






1. สัมผัสสิ่งใหม่ๆและเกิดการเรียนรู้

                 ปกติการใช้ชีวิตของคนเราที่จะต้องเผชิญกับเรื่องราวหลากหลายอย่าง มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีปะปนกันไปเรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียนที่สอนเตือนใจเราได้ดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ยังมีประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตที่เปิดรอให้เราก้าวเข้าไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในแบบที่คุณยังไม่เคยไปสัมผัสนั่นก็คือการท่องเที่ยวค่ะ สำหรับใครที่ติดบ้าน ยังไม่ค่อยมีเวลาได้ออกไปเที่ยวหรือว่าใครทำแต่งาน ยังหาเวลาไปเที่ยวไม่ได้ 




วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อยู่แต่กับบ้านนอนหลับเป็นตายอย่างเหนื่อยล้า หากชีวิตผ่านไปวันๆ แบบนี้ก็อาจจะเฉาแย่เมื่อต้องกลับมาทำงานหรือไปโรงเรียนวันจันทร์อีกครั้ง แค่คิดตามก็ทำให้เราเหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นแล้ว ดังนั้นแนะนำให้ลองลาพักร้อน หาวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือช่วงปิดเทอมนี่แหละ จัดทริปเที่ยวทะเลในแบบช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะแบบเช้า-เย็นกลับหรือไปค้างสัก 1 คืน ทำให้เราได้สัมผัสใหม่ๆ รอบตัว เกิดการเรียนรู้โลกกว้างใบใหม่อย่างที่เราไม่เคยรู้และเห็นมาก่อน เราจะสนุกมากยิ่งขึ้นจนสลัดความเหนื่อยล้าทั้งหมดออกจากใจได้เป็นอย่างดีทีเดียว




2. ผ่อนคลายความตึงเครียดของชีวิต


                การออกจากบ้านไปเที่ยวพักผ่อนในสถานที่ตามธรรมชาติต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก เป็นต้น จะทำให้เราได้รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นมาเติมพลังให้ชีวิต การอยู่กับธรรมชาติจะทำให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุขภาพจิตใจ ร่างกายและสมองของเราจะเกิดการผ่อนคลาย ความเครียดที่เคยมีมาแต่ก่อนก็จะค่อยๆ ถูกบำบัดให้หายไปอย่างช้าๆ


   




3. ชาร์ตพลังให้กลับมามีแรงสดชื่นอีกครั้ง

แพ็กกระเป๋าออกเดินทางท่องเที่ยวยังต่างจังหวัด เอาแค่จังหวัดใกล้เคียงบ้านก็ได้ เชื่อว่าสถานที่สวยๆ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ที่ทำให้คุณออกมาสูดอากาศสดชื่นปอดได้ดีกว่าเมืองกรุงแน่นอน หาวันหยุดสักโอกาสแล้วควงแขนคนที่คุณรักขับรถเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกันนะคะ แล้วคุณจะพบว่าการชาร์ตพลังกับการเที่ยวชมความงามของธรรมชาตินี่แหละเป็นอะไรที่คืนพลังชีวิตได้ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว


  





อย่าปล่อยให้การทำงานที่เหนื่อยล้ามาคอยบั่นทองพลังชีวิตคุณให้หล่นหายไปอีกดีไหม จากนี้ตั้งใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการหมั่นตักตวงความสุขรอบตัวใส่หัวใจตัวเองบ้าง เช่นการเดินทางพักผ่อนในสถานที่สวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศความเป็นธรรมชาติ รับรองว่ากลับมาบ้านคราวนี้คุณจะขนพลังอันมหาศาลกลับมาด้วยอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน


"ไปเที่ยวกัน"







"ธรรมชาติให้ความรู้สึกพิเศษได้แม้ไม่ได้มองเห็นด้วยตา"




 Byeee ♥




ขอบคุณรูปภาพจาก : http://yoursummerdreamz.tumblr.com/





Wednesday, July 29, 2015

WEEK 8 : Review/แนะนำ การใช้งาน 1 โปรแกรม








“กินอะไรดีวันนี้ ?” หากต้องทำโพลคำถามประจำชาติ คำถามนี้ต้องติด 1 ใน 10 อันดับแรกอย่างแน่นอน เพราะเป็นคำถามง่ายๆที่หาคำตอบยากซะเหลือเกิน ยิ่งหากไปกับเพื่อนความมากเรื่องและมากความจะยิ่งมากตาม แต่ไม่ต้องห่วงวันนี้มีคนทำ app มาตอบโจทย์นี้แล้ว เป็น app คนไทยทำเองด้วย นั่นก็คือ Application ที่ชื่อว่า wongnai (วงใน) นั่นเอง


รูปภาพจาก : https://pbs.twimg.com/profile_images/484247058094641152/EZw3S_uB.png


ฟังก์ชันหลัก
ค้นหาร้านอาหารรอบตัวคุณตามประเภทร้าน/ช่วงราคา/อื่นๆ ด้วยแผนที่ที่ใช้ GPS ตามที่อยู่ปัจจุบัน
• ดูข้อมูลร้านอาหารเช่น รูปภาพ เบอร์โทร เมนูอาหาร รีวิวจากผู้ไปกินจริง และเลือกติดตามคนที่ชื่นชอบได้
• หาเส้นทางไปยังร้านด้วย Google Maps
• สามารถถ่ายรูป/โพสรีวิวร้านอาหาร และดู feed แยกตามจังหวัดต่างทั้ง กรุงเทพ เชียงใหม่ ชลบุรี พัทยา โคราช ขอนแก่น หัวหิน หาดใหญ่ ฯลฯ
• รวบรวมร้านอาหารแนะนำ เช่น 10 ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังมาแรงในกรุงเทพ, 10 ร้านกาแฟน่านั่งในเชียงใหม่
• จดจำร้านเจ๋งๆ ด้วยการ Save to List
• แชร์ข้อมูลร้าน รีวิว หรือรูปภาพน่าอร่อยให้เพื่อนบนเฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์, ไลน์



" Wongnai มี Application ในมือถือระบบปฏิบัติการ ios และระบบปฏิบัติการ Android แต่วันนี้จะรีวิว Wongnai ในระบบ Android นะคะ "

ขั้นตอนแรก กดเข้าไปยัง “Play Store” ซึ่งก็คือที่ๆ สำหรับโหลด App ต่างๆ ของ android นั่นเอง
เมื่อเข้าสู่หน้าจอ store แล้ว ต่อมาก็กดที่ปุ่มแว่นขยายด้านบนขวา และพิมพ์ว่า “Wongnai”
แล้วกด OK เพื่อทำการค้นหา ก็จะเจอ Application ดังภาพ ซึ่งแน่นอนว่าโหลดฟรีค่ะ 
จากนั้นก็คลิกปุ่ม “Install” ได้เลย



เมื่อทำการ Install เสร็จสิ้นก็กดเปิดแอพได้เลย 
เมื่อเข้ามาแล้ว จำเป็นต้องเข้าระบบโดยการ Sign in
หากยังไม่เป็นสมาชิกก็สามารถกด Sign Up เพื่อสมัครสมาชิก หรือจะให้เชื่อมต่อผ่าน Facebook ก็ได้





   นี่คือหน้าจอหลักของ Wongnai โดยมีหัวข้อสำคัญดังนี้


1. Place
 เป็นส่วนที่ไว้สำหรับหาร้านอาหารที่น่าสนใจ ซึ่งมีการรีวิวไว้ รอบบริเวณที่เราอยู่ ดังนั้นจึงต้องมีการหาสัญญาณ GPS ก่อนด้วย



สมมติต้องการดูรายละเอียด ร้านไอติมหม้อไฟยศเส สาขา 4 ก็กดเลือกได้เลย
เมื่อกดเข้ามาแล้วจะเป็นหน้า Info ก็จะมีชื่อร้าน ประเภทร้าน ภาพบางส่วน การให้ดาวโดยเฉลี่ย และโปรโมชั่นของทางร้าน 




เมื่อเลื่อนลงมาก็จะมีที่อยู่ เบอร์ติดต่อ เว็บไซต์ ซึ่งอยู่ในหัวข้อ Contact
ทั้งนี้ ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อันเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่าจะมาทานหรือไม่ เช่นที่จอดรถ การรอคิว เวลาที่เปิดปิด
  


ในหน้าจอดังกล่าวสามารถทำการเพิ่มข้อมูลได้ดังนี้

Eat Here คือการเช็คอินว่าเรากำลังทานอาหารอยู่ที่ร้านนี้ 



Post Photo คือส่วนที่เราสามารถ upload ภาพอาหารของร้านนี้ พร้อมกับคำอธิบาย ซึ่งสามารถ Share ทาง Twitter และ Facebook ได้




Write Review คือการเขียนรีวิวของร้านนี้ สามารถแนบภาพ ให้คะแนน และบอกรายละเอียดต่างๆ ได้




ในหัวข้อ Review จะมีบทความการรีวิวของบุคคลทั่วไปที่เคยมาทานอาหารที่ร้านนี้ เราสามารถกด Like Comment หรือ Share ก็ได้



ถัดมาคือหัวข้อ Photos ก็จะรวบรวมรูปภาพอาหารภายในร้าน ที่บุคคลทั่วไปอัพโหลดกัน 





2. Feed

ในส่วนนี้ก็จะเป็นการดูความเคลื่อนไหวของการริวิวอาหารต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อดังนี้
Following คือความเคลื่อนไหวของเพื่อนที่เราได้ Following ไว้ 



Hot คือบทความรีวิวฮอตฮิตและเป็นรีวิวร้านอาหารที่ได้คะแนนโดยการให้ดาวเยอะๆ จากบุคคลทั่วไป 




Recent คือ บทความล่าสุด เปรียบเสมือน news feed



Pick คือ รีวิวร้านอาหารประจำวัน จะรวบรวมบทความประจำวันนี้ทั้งหมดเอาไว้ 




3. Articles

ในส่วนนี้เป็นบทความพิเศษของทาง Wongnai เอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการรีวิวอาหารในร้านที่ Wongnai แนะนำเอง
เมื่อเข้าไป ก็จะพบกับการรีวิวมากมายให้เลือก





4. Partner 

เป็นสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตที่ร่วมสนับสนุนตามร้านอาหารนั้นๆ เช่น จะได้รับส่วนลดเมื่อยื่นบัตรเครดิตของกสิกร 





5. Connect 

 เป็นการแลกเปลี่ยนต่างๆ เช่น การแลกของขวัญ หาเพื่อน เชิญเพื่อนมาเล่น 



   6. Settings

ในส่วนนี้เป็นการแก้ไขการตั้งค่าของ Wongnai ที่จำเป็น
การแก้ไข ประกอบด้วย การ Share ไปยัง Twitter / Facebook , ภาษา , การให้คะแนนต่างๆ และการส่งคำแนะนำไปยังผู้พัฒนา App




7. Log out 

หากเราต้องการออกจากระบบ ก็สามารถกดได้ที่ปุ่ม Log Out 





คำแนะนำการใช้ Wongnai

- ระบบจำเป็นต้องมีการต่อ Internet ผ่านทาง Wifi/Edge/3G/GPRS ซึ่งหากไม่มีแล้ว Application นี้จะไม่สามารถใช้การได้
 -แม้จะมีระบบ Internet แต่หากสัญญาณไม่ดี ความเร็วช้า ขาดช่วง ก็จะพบปัญหาเช่นเดียวกัน เช่นโพสภาพไม่ครบ เป็นต้น
- ระบบต้องการ GPS ในการระบุตำแหน่ง หากเราอยู่ในที่ร่ม หรือในตัวอาคาร การจับสัญญาณ GPS จะยากขึ้น และอาจทำให้ผลการค้นหาคลาดเคลื่อนได้
- การรีวิวหรือคอมเมนต์ ควรโพสเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่คนอื่นๆ ที่อาจมาดูข้อมูลเพื่อตัดสินใจอุดหนุน ดังนั้นควรโพสแบบตรงไปตรงมา และไม่ควรใส่อารมณ์มากเกินไป
- ทั้งนี้ ทาง Wongnai ก็มีกิจกรรมให้สมาชิกอย่างต่อเนื่อง อย่าลืมติดตามรายละเอียดต่างๆ ทางหน้าเว็บไซท์ของ Wongnai 

สรุป
Wongnai เป็น Application ที่เหมาะสมกับการเลือกร้านอาหารที่จะทานในแต่ละมื้อ เนื่องจากมีทั้งรายละเอียดของร้าน พิกัดร้าน การเดินทาง รูปถ่ายและคอมเมนต์ต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่า เราควรไปทานหรือไม่อย่างไร




วิดีโอแนะนำ Application Wongnai 







อ้างอิงจาก
  • https://play.google.com/store/apps/details?id=com.wongnai.android&hl=th
  • http://dunbine.exteen.com/20120628/app-wongnai



Tuesday, July 14, 2015

WEEK 7 : คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์


           คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

พิมพ์อีเมล์
            

         ระบบเครือข่าย (Network System) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในห้องเรียน ภายในองค์กร ระหว่าง อาคาร ระหว่างเมืองต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วทั้งโลกที่เรียกว่า "อินเทอร์เน็ต" (Internet)การติดต่อสื่อสารข้อมูลในปัจจุบันมีรากฐานมาจากความพยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยอาศัยระบบการสื่อสาร ต่อมาเมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นความต้องการในการติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบเครือข่าย (Network System)
             
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation System) เป็นวิธีการทางด้านการสื่อสารข้อมูล ที่กำลังได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ในระบบสำนักงาน ซึ่งเป็นระบบที่มี บุคคลากรในการทำงานน้อยที่สุดโดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสาร ระหว่างเครื่องมือเข้าด้วยกัน สำนักงานที่จัดว่าเป็นสำนักงานอัตโนมัติประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ คือ
  1. Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร
  2. Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสาร
    แบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบข่ายงาน
  3. Internet Working คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงานที่กระจายอยู่ทั่วโลก จนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
  4. Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษบทบาทที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งคือการให้บริการข้อมูล
ประโยชน์ของการสื่อสารข้อมูล
1. จัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารได้รวดเร็ว 
2. ความถูกต้องของข้อมูล
3. ความเร็วของการทำงาน
4. ประหยัดต้นทุน 

มาตรฐานสำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

             การทำงานในสำนักงานจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โต๊ะทำงานแต่ละตัวจะเป็นเสมือนจุดหนึ่งของการประมวลผล การวิเคราะห์ การแยกแยะข้อมูลและส่งให้โต๊ะอื่นๆ หรือหน่วยอื่น ๆ ต่อไป การเชื่อมโยงเครือข่ายทำให้เกิดเป็นระบบแห่งการประมวลผล หรือทำให้คอมพิวเตอร์หลาย ๆ ระบบเชื่อมเข้าด้วยกัน ระบบสำนักงานอัตโนมัติจึงเป็นเรื่องของการประมวลผลในจุดต่าง ๆ แล้วส่งข้อมูลถึงกันผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
             เหตุผลของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าหากัน เนื่องจากราคาของคอมพิวเตอร์ถูกลงและมีความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของระบบโดยรวม เพราะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวก็ทำงานได้ในตัวเองอย่างหนึ่ง แต่เมื่อรวมกันจะทำงานได้เพิ่มขึ้นและสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
             การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย จำเป็นต้องมีมาตรฐานกลางที่ทำให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ ทุกเครื่องหรือทุกระบบสามารถเชื่อมโยงกันได้ ในระบบเครือข่าย จะมีการดำเนินพื้นฐานต่าง ๆ กัน เช่น การรับส่งข้อมูล การเข้าใช้งานเครือข่าย การพิมพ์งานโดยใช้อุปกรณ์ของเครือข่าย เป็นต้น
             องค์กรว่าด้วยเรื่องมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงได้กำหนด มาตรฐานการจัดระบบการเชื่อมต่อสื่อสารเปิด (Open Systems Interconnection : OSI) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง 2 ปลายทางใด ๆ บนเครือข่ายระบบสื่อสาร มีการแบ่งออกเป็นระดับ (Layer) ได้ 7 ระดับ โดยแต่ละระดับจะมีการกำหนดมาตรฐานในการติดต่อเป็นของตัวเอง และระดับหนึ่งจะติดต่อกับระดัที่เท่ากันของอีกปลายหนึ่ง ระดับที่สูงกว่าจะสั่งงานและรับข้อมูลที่ประมวลผลแล้วจากระดับที่ต่ำกว่า โดยไม่จำเป็นต้องทราบรายละเอียดของระดับที่ต่ำกว่า
             การสื่อสารในระดับต่าง ๆ จะอาศัยการควบคุมเพื่อให้ระบบการทำงานนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องมีมาตรฐานโดยการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเก็ต จะเกี่ยวพันกับ 3 ระดับล่าง ซึ่งได้แก่ 
             1. ระดับฟิสิคัล (Physical Layer) เป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลเป็นบิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับแรงดันไฟฟ้าช่วงความถี่ คาบเวลา
             2. ระดับดาต้าลิงค์ (Data Link Layer) เป็นระดับที่ทำการแปลงการรับส่งข้อมูล ที่มีความไม่แน่นอนให้แน่นอนขึ้น โดยการจัดรูปแบบข้อมูลเป็นบล็อก เช่น เฟรม (Frame) พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด
             3. ระดับเนตเวอร์ค (Network Layer) ทำการส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้าไปในเนตเวอร์ค แพ็กเก็ตก็อาจเดินทางไปอย่างอิสระ โดยมีการจ่าหน้าแอดเดรสของผู้รับและผู้ส่งวิธีนี้เรียกว่าDatagrame

             ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากทั่วโลก แต่ละคนก็ใช้คอมพิวเตอร์ต่างแบบต่างรุ่นกัน ดังนั้นการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยภาษากลางที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ากันกันได้ ซึ่งภาษากลางนี้มีชื่อทางเทคนิคว่า "โปรโตคอล" (Protocol)สำหรับโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ใน การสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตมีชื่อเรียกว่าTCP/IPซึ่งได้แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมๆ กับเครือข่าย อินเทอร์เน็ต และเป็นโปรโตคอลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
             การทำงานของโปรโตคอล TCP/IP จะแบ่งข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่งไปยังเครื่องอื่นไปส่วนย่อยๆ(เรียกว่า แพ็คเก็ต : packet) และส่งไปตามเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยการกระจายแพ็กเก็ตเหล่านั้นไปหลายทาง โดยในแต่ละเส้นทางจะไปรวมกันที่จุดปลายทาง และถูกนำมารวมกันเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
             รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP ที่มีการแบ่งข้อมูลและจัดส่งเป็นส่วนย่อย จะสามารถช่วยป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการติดต่อสื่อสารได้ เพราะถ้าข้อมูลเกิด สูญหายก็จะเกิดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นมิใช่หายไปทั้งหมด ซึ่งคอมพิวเตอร์ปลายทางสามารถ ตรวจหาข้อมูลที่สูญหายไปได้ และติดต่อให้คอมพิวเตอร์ต้นทางส่งเพียงเฉพาะข้อมูลที่หายไปมาใหม่อีกครั้งได้
             โปรโตคอล TCP/IP ถูกคิดค้นโดยรัฐบาลสหรัฐและถูกนำมาใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพี่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ในกรณีที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่ในรัฐใดรัฐหนึ่งถูกโจมตีจนได้รับความเสียหาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถติดต่อถึงกันได้อยู่ เพราะข้อมูลจะถูกโอนย้ายไปตามเส้นทางอื่นในเครือข่ายแทน

ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

             เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์ด้านการสื่อสารหรือสื่ออื่นใด ทำให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนและใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายร่วมกันได้ 
             การที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาท และความสำคัญเพิ่มขึ้นเพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งาอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้นเพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง เครือข่ายมีตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์ เพียงสองสามเครื่องเพื่อใช้งานในบ้าน หรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมไปเกือบทุกประเทศ เครือข่ายสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากทั่วโลกเข้าด้วยกันเราเรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network :LAN)
2. เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network :MAN)
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network :WAN )



การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ 

             หากต้องการที่จะนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเป็นระบบ โดยใช้ขีดความสามารถเดิมที่มีอยู่ สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
             1. การเชื่อมต่อผ่านช่องทาง Com1, Com2 และ LPT เป็นวิธีที่นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต่อผ่านช่องทาง COM1 หรือ COM2 เพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างกัน
             2. การเชื่อมต่อเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่องพิมพ์ เป็นการแบ่งกันใช้เครื่องพิมพ์เพื่อให้การใช้ทรัพยากรเครื่องพิมพ์ (Printer) เกิดประโยชน์มากขึ้น
             3. การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูล เป็นวิธีการต่อขยายระบบแบบง่าย ๆ ที่ใช้มือช่วยระบบสลับสายข้อมูลทำหน้าที่เหมือนชุมสายโทรศัพท์
             4. การเชื่อมต่อผ่านระบบผู้ใช้หลายคนหลายช่องทาง ระบบผู้ใช้หลายคนขนาดเล็ก ที่อยู่บนไมโครคอมพิวเตอร์มีหลายระบบ เช่น ระบบยูนิกซ์ ระบบลีนุกซ์ ระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมขยายเข้ากับสถานีย่อได้มาก เป็นระบบที่ใช้งานร่วมกันได้ในราคาประหยัด



โครงสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Topology) 

             1. เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ 


ที่มารูปภาพ: http://homepages.uel.ac.uk/u0330814/images/ring.gif

            2. เครือข่ายแบบดาว (Star Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเครือข่ายโดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลาง จึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานี ต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน 



ที่มารูปภาพ : http://www.garethjmsaunders.co.uk/pc/images/network/star-topology.gif


             3. เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ด้วยสายคเบิลยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุ ก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอน อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง 



ที่มารูปภาพ: http://homepages.uel.ac.uk/u0330814/images/ring.gif


            4. เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network) เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน 


ที่มารูปภาพ: www.thainame.net/weblampang/student3/p2.html

องค์ประกอบของเครือข่าย 

ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
  • คอมพิวเตอร์ (Client Computer)
  • เซอร์เวอร์ (Server)
  • ฮับ (Hub)
  • บริดจ์ (Bridge)
  • เราท์เตอร์ (Router)
  • เกตเวย์ (Gateway)
  • โมเด็ม (Modem)
  • เน็ตเวอร์คการ์ด (Network Card)
ซอฟต์แวร์ (Software)
  • ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่าย (Network Operating Sytems)
  • แอบพลิเคชั่นของเครือข่าย (Network Application Sytems)
ตัวนำข้อมูล (Media Transmission)

             สายส่งข้อมูล หรือ Cable เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในระบบ Network ที่ใช้เป็นทางเดินของข้อมูลระหว่าง Workstation กับ Server มีลักษณะคล้ายสายไฟหรือสายโทรศัพท์แล้วแต่ชนิด ของ Cable แต่การเลือกใช้ Cable นั้นควรคำนึงถึงความปลอดภัย (Safety) และคลื่นรบกวน (Interference) เป็นสำคัญ สายส่งข้อมูลที่ดีไม่ควรเป็น ตัวนำไฟ เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้น และสามารถ ป้องกันคลื่นรบกวนจากอำนาจแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุได้ ลักษณะของสายส่งข้อมูล แบ่งได้ดังนี้ 
  •  สาย Coaxial Cable หรือ สาย Coax นอกจากใช้ในระบบ Network แล้วยังสามารถ นำไปใช้กับระบบTV และ Mainframe ได้ด้วย สาย Coax นั้นเป็นสายที่ประกอบไปด้วยแกนของ ทองแดงหุ้มด้วยฉนวน และสายดิน (ลักษณะเป็นฝอย) หุ้มด้วยฉนวนบางอีกชั้นหนึ่ง ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากลวดทองแดงมาเป็นลวดเงินที่พันกันหลาย ๆ เส้นแทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวน ที่เรียกว่า "Cross Talk" ซึ่งเป็นการรบกวนที่เกิดจากสายสัญญาณข้างเคียง


รูปภาพจาก : http://litramfg.com/wp-content/uploads/2013/09/coaxial-cable-assemblies.jpg


  • สาย Twisted Pair Cable เป็นสายส่งสัญญาณที่ประกอบไปด้วยสายทองแดง 2 เส้น ขึ้นไปบิดกันเป็นเกลียว (Twist) แล้วหุ้มด้วยฉนวน โดยแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบมี Shield และ แบบไม่มี Shield จะมีฉนวนในการป้องกันสัญญาณรบกวน หรือระบบป้องกันสัญญาณรบกวน โดยเรียกสาย Cable ทั้งสองนี้ว่า "Shielded Twisted Pair (STP)" และ "Unshielded Twisted Pair (UTP)"
- สาย Shielded Twisted Pair (STP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน" เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า

รูปภาพจาก : http://www.hyperline.com/img/sharedimg/cable/ustp4-c6a-solid-ind.jpg


- สาย Unshielded Twisted Pair (UTP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียว ชนิดไม่หุ้มฉนวน" เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้น ทำให้สะดวก ในการโค้งงอ สาย UTP เป็นสายที่มีราคาถูกและ หาง่าย แต่ป้องกันสัญญาณรบกวน ได้ไม่ดีเท่ากับสาย STP 


รูปภาพจาก : http://kruartit.com/images/unshielded_cable.jpg




  • สาย Fiber Optic Cable เป็นสายใยแก้วนำแสงชนิดใหม่ ประกอบด้วยท่อใยแก้ว ที่มีขนาดเล็กและบางมากเรียกว่า "CORE"ล้อมรอบด้วยชั้นของใยแก้วที่เรียกว่า "CLADDING" อัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงถึง 565 เมกะบิตต่อวินาที หรือมากกว่า ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีมาก ขนาดของสายเล็กมากและเบามากแต่มีราคาแพง 

รูปภาพจาก : http://www.nca-group.net/images/fiber-optic-cable.jpg


          ตัวนำข้อมูลแบบไร้สาย  เช่น ไมโครเวฟ, ดาวเทียม ,  3G  ระบบ 3G ( UMTS ),  Wireless X  และ GPRS

  •  ไมโครเวฟ (Microwave)
           สัญญาณไมโครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับ – ส่ง คือ จานสัญญาณไมโครเวฟซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูง และมักจะให้อยู่ห่างกัน ประมาณ 25 – 30 ไมล์ ข้อดีของการส่งสัญญาณด้วยระบบ ไมโครเวฟ ก็คือ สามารถส่งสัญญาณด้วยความถี่กว้าง และการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนแทบไม่มีเลย แต่ถ้าระหว่างจานสัญญาณไมโครเวฟมีสิ่งกีดขวางก็จะทำให้การส่งสัญญาณไม่ดีหรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้ การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้ เช่น อยู่ในเขตป่าเขา
ที่มารูปภาพ:http://www.elearning.ptc.ac.th/~boonchoay/network/lesson3_files/2_2.gif
  •  ดาวเทียม (Satellite)
            มีลักษณะการส่งสัญญาณคล้ายไมโครเวฟ แต่ต่างกันตรงที่ ดาวเทียมจะมีสถานีรับ – ส่งสัญญาณลอยอยู่ในอวกาศ จึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกเหมือนไมโครเวฟ ดาวเทียมจะทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาณให้แรงเพิ่มขึ้นก่อนส่งกลับมายังพื้นโลก ข้อดีของการสื่อสารผ่านดาวเทียม คือ ส่งข้อมูลได้มากและมีความผิดพลาดน้อย ส่วนข้อเสีย คือ อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้



ที่มารูปภาพ:http://www.skr.ac.th/My%20Intranet/thaiwbi/www.thaiwbi.com/course/data_com/018.gif 





  •  3G  ระบบ 3G (UMTS)  คือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น



ที่มารูปภาพ:http://www.aircardshop.com/aircard.html



  • Wireless X  Wireless X หรือระบบ Network แบบไร้สาย ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.11ซึ่งอุปกรณ์ทุกตัว ที่ต่างยี่ห้อกันนั้นจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ประสบปัญหา หากอุปกรณ์นั้นผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานก็จะมีการประทับตรา Wi-Fi Certified ซึ่งหมายความว่า อุปกรณ์ตัวนี้สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ อุปกรณ์อื่นที่มีตรา Wi-Fi Certified ได้ แล้วจึงกลายมาเป็นคำศัพท์ของอุปกรณ์ LAN ไร้สาย

ที่มารูปภาพ:http://www.aircardshop.com/aircard.html


  • GPRS
     -   เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นบนเครือข่ายเดิมเพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้น 
     -   เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบรวดเร็ว ซึ่งใช้ได้กับเครือข่ายระบบ GSM ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้กับการติดตั้งและทำให้ระยะเวลาในการส่งข้อมูล รวดเร็วยิ่งขึ้น 
     -   เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้ Mobile Internet ด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ท่านสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก และง่ายดาย ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ 
     -   นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้การส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วจากเดิมเพียงแค่ 9.6 Kbps เป็น 40 Kbpsช่วยให้ท่านสามารถเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต ได้ภายในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ 
     -   การส่งข้อมูลแบบใหม่ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งจะประกอบไปด้วยรูปภาพที่เป็นกราฟิก เสียงและวิดีโอ เช่นการใช้ Video Conference



ที่มารูปภาพ:http://www.aircardshop.com/aircard.html







อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.dol.go.th/it/index.php?option=com_content&task=view&id=105
                     : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/n1.html